JPEG RE-COMPRESS…บีบอัดไฟล์อย่างไรให้คุณภาพยังอยู่

เรารู้จัก “RAW” เรารู้จัก “JPEG” แต่ รู้สึกว่าจะไม่ค่อยคุ้นกับ “TIFF” สักเท่า ไหร่…หรือบางทีก็อาจจะไม่เคยรู้จักเลยก็เป็นได้ ในโลกของไฟล์ภาพถ่ายยุคปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่า “JPEG” จะครองความเป็นเจ้า ยุทธจักรไปเสียแล้ว ด้วยความที่เป็นไฟล์ มาตรฐานซึ่งเว็บเบราเซอร์และโซเชียลมีเดียชนิดต่างๆ สามารถแสดงผลขึ้นมาใช้งานได้ กล้องถ่ายรูปจากโทรศัพท์มือถือก็อิงกับ JPEG เป็นหลัก เรียกได้ว่าอะไรๆ ก็ต้อง JPEG ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ร้านอัด-ขยายภาพถ่ายทั่วไปที่เราอาจจะเคยผ่านตา จะส่งอะไรเข้ามาก็ไม่ได้ต้อง JPEG อย่างเดียวเท่านั้นก็ด้วยคุณสมบัติที่เป็นกลางซึ่งซอฟต์แวร์ต่างๆ สามารถเข้าใจได้และไฟล์ก็มีขนาดเล็ก ดังนั้น JPEG จึงครองโลกไปในที่สุด… เว้นแต่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ได้กว้างขวางมากมายนัก แต่เป็นแหล่งที่เน้นถึง “คุณภาพ” ของงานเป็นหลัก โลกที่เรียกว่า “สิ่งพิมพ์” ซึ่งหลายคนอาจจะเข้าใจว่ากำลังจะตายเมื่อมองไปที่หนังสือหรือนิตยสารแต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งพิมพ์ ยังมีมากมายกว่านั้น และมันก็เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอยู่ไม่น้อย โลกแห่งงานพิมพ์นั้นถึงแม้ว่าจะยอมรับ JPEG ได้ด้วย แต่มันก็ไม่ได้เป็นพระเอกเนื่องด้วยเหตุผลทางคุณภาพ…ซึ่งพระเอกของโลกใบนั้นมีชื่อว่า “TIFF” ที่เราไม่คุ้นเคยกันนี่เอง…

TIFF :

ย่อมาจาก Tagged Image File Format เป็นรูปแบบ ไฟล์ชนิดหนึ่งสำหรับระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งมีการใช้งานมานานกว่า 30 ปีแล้ว วัตถุประสงค์หลักของ TIFF ก็คือ การเก็บข้อมูลภาพที่เป็นชนิด Raster Graphic ไฟล์ชนิดนี้ก็คือ ข้อมูลที่มีการเก็บบันทึกรหัสสีเป็นจุด (Pixel, Bitmap) ที่เรียงต่อกันจนเป็นภาพมันอาจจะเป็นภาพถ่าย, ภาพวาด ฯลฯ หรืออะไรก็ตามที่มีลักษณะการเก็บข้อมูลชนิดนั้นต่างไปจาก Vector Graphic ที่เก็บข้อมูลในการสร้างภาพด้วยการอ้างอิงระบบทางเลขาคณิต ซึ่งไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากข้อมูลแบบ Pixel หรือ Bitmap นี้เป็นการเก็บข้อมูลแบบจุดที่ต่อเนื่องกันไปด้วยจำนวนมหาศาล ทำให้ขนาดของข้อมูล มีความใหญโตต้องใช้พื้นที่ค ่อนข้างมากในการเก็บบันทึก หรือประมวลผล แต่ข้อดีก็คือ มันเหมาะสำหรับภาพที่เหมือกับธรรมชาติจากการมองเห็นมากกว่า Vector Graphic TIFF ถือกำเนิดขึ้นมาจากการพัฒนาของบริษัท Aldus (บริษัทที่แรกเริ่มเป็นผู้สร้างซอฟต์แวร์ Page Makerและ After Effect) ต่อมาได้ถูกเทคโอเวอร์โดย Adobe System ในปีค.ศ. 1994 ซอฟต์แวร์ทั้งหมดจึงตกเป็นของ Adobe ไปโดยปริยาย

แรกเริ่มนั้น TIFF ถูกพัฒนาขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อ รองรับการใช้งานเครื่อง Scanner ชนิดตั้งโต๊ะในช่วงปี ค.ศ. 1980 ซึ่งในช่วงเริ่มแรกนั้นมันสามารถเก็บข้อมูลในแต ่ละ พิกเซลได้เพียงแค่สองค่า คือ ดำหรือไม่มีสีเท่านั้น (ลองนึก ภาพถึงกระดาษแฟกซ์ดู) ซึ่งเครื่องสแกนในยุคนั้นมีความ สามารถเพียงเท่านั้น ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีสูงขึ้น ประกอบกับ อุปกรณ์เก็บข้อมูลมีการพัฒนาให้มีพื้นที่มากขึ้น TIFF ก็พัฒนา ตามมาให้สามารถเก็บข้อมูลแบบ Grayscale ที่มีการไล่น้ำหนักได้จากนั้นจึงตามมาด้วยภาพสีธรรมชาติในที่สุด TIFF ประกาศเปิดตัวเป็นครั้งแรกโดย Aldus ในปีค.ศ. 1986 ในเวอร์ชั่น 1.0 และพัฒนาจนมาถึงปัจจุบันซึ่งเป็นเวอร์ชั่น 6.0 ซึ่งเปิดตัวในปีค.ศ. 1992

FEATURE & OPTION :

TIFF เป็นรูปแบบไฟล์ที่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างมาก นอกจากการเก็บข้อมูลรูปภาพในรูปแบบ Raster Graphic แล้วยังสามารถเก็บข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับคุณสมบัติของ Vector Graphic ที่มีการสร้างเพิ่มเติมเข้าไปในภาพนั้น เช่น ข้อมูลของ Clipping path (การเจาะหรือล้อมกรอบภาพด้วยรูปทรงต่างๆ) แต่คุณสมบัติที่สำคัญอันทำให้ TIFF เหนือกว่า JPEG ก็คือ TIFF ใช้วิธีการบีบอัดข้อมูลแบบ Lossless (หรือไม่มีการบีบ อัดข้อมูลเลย) นั่นทำให้ไฟล์TIFF มีคุณภาพของข้อมูลที่แปล ออกมาเป็นภาพที่ดีกว่า และการตกแต่งแก้ไข เซฟทับ จะไม่ ทำให้ข้อมูลถูกลดคุณภาพลงแต่อย่างใด ในขณะที่ JPEG จะเสียคุณภาพไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มีการเซฟเกิดขึ้น

นอกจากนี้ TIFF ยังสามารถเก็บข้อมูลที่เป็นเลเยอร์ (เช่น เลเยอร์ของ Photoshop) เอาไว้ได้ด้วย และยังสามารถเก็บข้อมูล อีกหลายส่วนที่เป็นประโยชน์ต่องานสิ่งพิมพ์โดยตรง ในขณะที่ JPEG ไม่สามารถทำได้มากขนาดนี้ แต่ที่ดูจะตรงประเด็นสำหรับนักถ่ายภาพเป็นอย่างยิ่งก็คือ TIFF สามารถเก็บข้อมูลชนิด 16bit ได้ ในขณะที่ JPEG จะเก็บ ได้สูงสุด 8bit เท่านั้น หากคุณเปิด RAW File ขึ้นมาที่ระดับ 16bit ตกแต่งแก้ไขภาพแล้วอยากจะบันทึกเก็บไว้ในระดับ 16 บิทด้วย ก็ต้อง Save เป็นแบบ TIFF (หรือ .psd) แต่ถ้าคุณ Save เป็นแบบ JPEG ชนิด ของข้อมูลก็จะลดระดับลงมาอยู่ที่ 8 บิทโดยอัตโนมัตินั่นเท่ากับ ว่าข้อมูลจำนวนมากสูญหายไป คุณภาพของไฟล์ภาพก็ลดลงนั่นเอง

สรุป :

โดยสรุปแล้ว ไฟล์ภาพแบบ TIFF จะมีคุณภาพที่สูงกว่าชนิด JPEG เพราะสามารถเก็บข้อมูลสีที่ลึกกว่า, ไม่มีการสูญเสียคุณภาพ ของภาพแม้มีการทำงานซ้ำหลายครั้ง (อาจสูญเสียบ้างแต่ก็น้อยมาก) และสามารถเก็บข้อมูลแบบ 16 บิทได้แต่ข้อเสียก็คือ ขนาดของไฟล์จะใหญ่มากกว่า (ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่า) จึงไม่เหมาะกับการใช้งานในระบบอินเตอร์เน็ต เพราะไม่สามารถแปลความหมายได้โดยซอฟต์แวร์ทั่วไป ดังนั้นหากพูดถึงทางด้านคุณภาพของไฟล์ภาพแล้ว “TIFF” ย่อมเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าแน่นอน