How to… “i” vs. “p” in VIDEO เลือกแบบไหนให้เหมาะสม
เป็นที่สงสัยของหลายๆ ท่านเมื่ออ่านสเปคกล้อง หรือเมื่อซื้อกล้องมาครอบครองแล้วจะมีตัวเลือกสำหรับงานวิดีโออยู่สองอย่างก็คือ ส่วนที่ต่อท้ายด้วยตัวอักษร “i” และ “p” …แล้วเราจะเลือกใช้ตัวไหนดี? ดูแล้วมันก็เหมือนจะไม่ต่างกัน แต่เชื่อเถอะว่ามันมีผลต่างกันแน่ๆ ไม่อย่างนั้นผู้ผลิต เค้าคงไม่ทำมาให้เราเลือกใช้กันหรอก ลองมาไขข้อสงสัยนี้กันดูสักหน่อยว่า “i” และ “p” ต่าง กันอย่างไร? ให้ผลทางการ Output ต่างกันอย่างไร…
“วิดีโอ” นั้นอันที่จริงแล้วก็คือ ภาพนิ่งที่แสดงต่อเนื่องอย่างรวดเร็วจนเรามองเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวนั่นเอง ซึ่งในระดับที่จะมองเห็นได้อย่างต่อเนื่องนั้นเป็นการแสดงภาพนิ่งในอัตราความเร็วที่ 24, 25 และ 30 ภาพต่อวินาที(ขึ้นอยู่กับระบบ) ซึ่งในฝั่งของอุปกรณ์บันทึกก็จะทำการบันทึกในความเร็วเช่นนี้ และส่วนแสดงผล (อย่างเช่นทีวี) ก็จะแสดงผลที่อัตราเร็วเท่านี้ เช่นเดียวกัน ซึ่งแต่ละภาพนี้ก็จะเรียกว่า “เฟรม” สิ่งที่จะแตกต่างออกไปก็คือ ในด้านของอุปกรณ์แสดงผล นั้นจะมีวิธีในการสร้างให้ภาพปรากฏขึ้นบนจอภาพที่เรียกกัน ว่าการ “Scan” สร้างเป็นภาพขึ้น โดยจะทำการสร้างภาพเป็นเส้นในแนวนอนขึ้นมาอย่างรวดเร็วไล่ลงมาจากด้านบน ดังนั้น เมื่อใช้กล้องถ่ายภาพนิ่งที่สปีดชัตเตอร์เร็วมากจึงเห็นจอทีวีปรากฏเป็นเส้นขึ้นมา นั่นก็เพราะสปีดชัตเตอร์จะเร็วกว่าระบบการมองเห็นของเรามาก ซึ่งเส้นในการ Scan นี้ก็เป็นที่มาของ ระดับความคมชัดที่เรียกกันในหน่วย “เส้น” ด้วย ยิ่งมีเส้นมาก ก็จะยิ่งละเอียดคมชัดมากขึ้นด้วย …ในขั้นตอนการ Scan ภาพนี้นี่เองที่เป็นที่มาของ “i” และ “p” ที่เรากำลังสงสัยกันอยู่
Interlaced Scan
เป็นระบบการ Scan ภาพในลักษณะดั้งเดิมแบบสลับเส้น ระหว่างเส้นในตำแหน่งเลขคี่และเลขคู่ (Odd & Even) เช่น เส้นที่ 1, 3, 5…เป็นตำแหน่งเลขคี่ ส่วนเส้น 2, 4, 6… เป็นตำแหน่งเลขคู่ โดยระบบจะทำการ Scan สร้างภาพในแถวเลข คู่ลงไปก่อนแล้วจึงจะย้อนกลับขึ้นมา Scan ในเส้นเลขคี่ การที่ต้องทำแบบนี้ก็เพื่อซ้อนในแต่ละเฟรมให้เกิดความ ต่อเนื่องกันด้วยความรวดเร็วนั่นเอง Interlaced Scan เป็นระบบที่ใช้กันอยู่ในยุคเดิมตั้งแต่ สมัยที่จอภาพยังเป็นชนิดหลอดภาพ ถึงแม้ในปัจจุบันนี้จะใช้ระบบใหม่แล้วแต่ก็ยังมีการส่งสัญญาณภาพออกอากาศใน ลักษณะเช่นนี้อยู่ ซึ่งนอกจากจอทีวีแล้วจอคอมพิวเตอร์ชนิดที่ ใช้หลอดภาพก็ใช้ระบบการ Scan แบบ Interlaced นี้เช่นกัน ปัญหาที่สำคัญของระบบนี้ก็คือ ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนแสดง ภาพได้อย่างต่อเนื่องโดยที่สายตามองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง แต่ระบบประสาทของสายตาจะสามารถรับรู้ถึงอาการกระพริบ ของภาพได้ซึ่งก็จะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าทางสายตาและในกรณีที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็จะทำให้เกิดอาการสายตาสั้นอย่างที่เราทราบกัน ซึ่งมักจะเกิดกับผู้ที่นั่งใกล้จอภาพมากเกินไปและใช้เวลานานๆ ระบบ Interlaced Scan นี้เรียกกันย่อๆ ว่า “i”
Progressive Scan
ระบบใหม่ในยุคปัจจุบันที่ถูกคิดค้นเพื่อแก้ไขปัญหาและ ข้อจำกัดบางประการของ Interlaced Scan โดยที่ Progressive จะยังคงใช้ระบบเส้นเช่นเดียวกัน แต่ในคราวนี้จะสร้าง ภาพเรียงตั้งแต่ 1, 2, 3 ต่อเนื่องกันลงไปเลยในแต่ละเฟรม ดังนั้นมันจึงเกิดปัญหาทางการกระพริบของภาพน้อยกว่า เราจึงสามารถดูในระยะใกล้ได้, สามารถดูได้นานๆ โดยไม่รู้สึกปวดตา ซึ่งจะเหมาะมากสำหรับการเป็นจอคอมพิวเตอร์ นี่คือข้อดีของระบบ Progressive แต่มันต้องการระบบการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงจึงจะสามารถสร้างภาพได้อย่างรวดเร็วต่อเนื่อง โชคดีที่เทคโนโลยีของจอภาพในยุค ปัจจุบันนี้อย่าง LCD, LED หรือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมีพลัง ในการประมวลผลระดับสูงมาก จึงสามารถตอบสนองต่อการแสดงผลของภาพแบบ Progressive ได้ดี ระบบนี้เรียกย่อๆ ว่า “p”
Interlaced vs. Progressive
เท่าที่อ่านมานี้ก็จะเห็นได้ว่าระบบ Progressive (“p”) จะ ดูเข้าท่าและน่าสนใจกว่า Interlaced (“i”) เป็นอย่างมาก เพราะ i นั้นเป็นระบบในยุคดั้งเดิมที่มีอายุงานนานมากแล้ว Progressive จะสามารถแสดงภาพแต่ละเฟรมให้จบในตัวได้ต่อการ Scan หนึ่งรอบ ดังนั้นนอกจากจะไม่มีการกระพริบ ให้สายตาเมื่อยล้าแล้วยังสามารถแสดงภาพได้คมชัดและนิ่งกว่ามาก โดยเฉพาะในภาพแบบ “SlowMotion” นั้นจะเห็นได้ว่า สามารถแสดงผลออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ในขณะที่ Interlaced นั้นยังแสดงผลของการแตกเป็นฟัน หวีออกมาได้ในบางครั้งบางกรณี ซึ่งก็เป็นผลมาจากระบบการ Scan แบบแยกเส้นคู่/เส้นคี่ในช่วงรอยต่อระหว่างเฟรมนั่นเอง ดังนั้นเฟรมก่อนหน้าและเฟรมปัจจุบันจึงเกิดการแตกต่างกัน ของการเคลื่อนไหวในลักษณะเส้นจากเฟรมที่ต่างกันขึ้น สรุปได้ว่าระบบการแสดงผลหรือ Scan ของ Progressive นั้นดีกว่ามาก แต่ปัญหาสำคัญก็คือต้องมีการเปลี่ยนระบบใหม่ ทั้งหมดและต้องเป็นระบบที่มีสมรรถนะทางการประมวลผลใน ระดับสูงด้วย มันคงไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไหร่นักสำหรับเครื่องรับ ทีวีตามบ้านที่เราเพียงแค่ซื้อมาเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ก็สามารถใช้ งาน Progressive ได้แล้ว แต่ในระดับการออกอากาศอย่างสถานี โทรทัศน์นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กเพราะต้องเปลี่ยนอุปกรณ์แทบทุกอย่างเป็นแบบใหม่ทั้งหมดเลยทีเดียว
ก็ในเมื่อเห็นๆ กันอยู่ว่าระบบ Progressive (“p”) นั้น แสดงผลได้ดีกว่าอยู่แล้ว จะต้องมีมาให้เลือกทำไม? ทำไมไม่เป็นแบบ “p” อย่างเดียวไปเลย? อันที่จริงกล้องบางรุ่นก็ไม่มีให้เลือก แต่ถ้ารุ่นที่คุณสมบัติ สูงก็จะมีทั้ง “i” และ “p” มาให้เลือกใช้ นั่นก็เป็นเพราะว่าใน การบันทึกหรือแสดงผลภาพบางอย่างนั้น “i” จะยังคงแสดงผลได้ดีและนุ่มนวลมากกว่า ตัวอย่างเช่น ภาพในลักษณะที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนมุมกล้องอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวเชื่องช้า (ลองนึกภาพทุ่งหญ้าที่ลมโชยพริ้วแผ่วเบา) ลักษณะ เช่นนี้“i” จะแสดงผลได้ดีกว่า ดังนั้นกล้องที่มีคุณสมบัติสูงก็จะมีตัวเลือกมาให้เราเลือกใช้ตาม ความเหมาะสมว่าระหว่าง “i” และ “p” ควรจะเลือกใช้แบบไหนให้ เหมาะสมกว่ากัน ซึ่งโดยมากแล้วก็ จะเป็นแบบ “p” เพื่อให้เข้ากับอุปกรณ์แสดงผลในยุคปัจจุบัน แต่ก็ไม่แน่ว่าในบางสถานการณ์ นั้น “i” จะยังสามารถทำได้ดีกว่าดังที่ได้อธิบายไปแล้ว ซึ่งนี่เองเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมีมาให้เลือก? แต่ถ้าคุณ ไม่แน่ใจและเพื่อความปลอดภัยเอาไว้ก่อน ก็เลือกใช้ระบบที่มีตัวอักษรต่อท้ายเป็น “p” รับรองว่าไม่มีวีดีโอที่แตกเป็นฟันหวี ออกมาให้เห็นกันแน่นอน

