HOW TO : SHARP…รู้เรื่องเลนส์ เพื่อความเป็นภาพถ่ายซึ่ง “คมชัดได้อีก”
รู้เรื่องเลนส์ เพื่อความเป็นภาพถ่ายซึ่ง “คมชัดได้อีก”
ความคมชัดและความละเอียดของภาพถ่ายที่แท้ จริงนั้นอยู่ที่เลนส์ เพราะแม้ว่าเซนเซอร์รับภาพของกล้องจะมีความละเอียดมากแค่ไหนก็คงจะไร้ประโยชน์หากว่าเลนส์ที่ถ่ายทอดแสงเข้ามานั้นไม่สามารถให้ความคมชัดที่มากพอ
เราสามารถอนุมานได้คร่าวๆ ว่าเลนส์ยิ่งแพง ก็จะยิ่งดีแต่จะยิ่งดีขึ้นได้อีกหากเราทำความเข้าใจกับเรื่องราวทางกายภาพและกฏเกณฑ์ ความเป็นไปในเรื่องของแสงและเลนส์อันจะนำมา สู่ภาพถ่ายที่มีประสิทธิภาพที่แสดงรายละเอียดและ ความคมชัดได้ดีที่สุดตามสถานการณ์ซึ่งความเข้าใจนี้ไม่ เพียงใช้งานได้กับเลนส์แพงๆ เท่านั้น มันยังรวมถึงเลนส์ในระดับ ทั่วไปด้วยว่าเราจะสามารถ “รีด” ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของเลนส์ ตัวนั้นออกมาได้อย่างไร?
ความคมชัดอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดของภาพถ่าย แต่มันสิ่งที่ ชัดเจนที่สุดของภาพถ่ายแล้ว..
Defocus blur – Diffraction blur :
มีอยู่สองปัจจัยที่ส่งผลต่อความคมชัดของภาพถ่าย นั่นคือ Defocus blur และ Diffraction blurการหลุดจากโฟกัส (Defocus) เกิดขึ้นที่รูรับแสงกว้าง ส่วนการกระเจิงแสง (Diffraction) จะเกิดที่รูรับแสงแคบ ดังนั้นการควบคุมความคมชัดในภาพถ่ายของเราก็คือการ ระวังสองสิ่งนี้ให้ดี
ที่รูรับแสงกว้างนั้นเรารู้จักกันดีในชื่อ “ชัดตื้น” ซึ่งเป็น วิธีการที่หลายคนชื่นชอบมาก แต่ถ้าใช้รูรับแสงกว้างมากเกินไปก็อาจจะทำให้พื้นที่โฟกัสครอบคลุมวัตถุได้ไม่เพียงพอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างเลนส์และวัตถุด้วย ยิ่งเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่พื้นที่โฟกัสก็จะยิ่งแคบลงมากเท่านั้น
ส่วนที่รูรับแสงแคบซึ่งเรารู้จักกันในชื่อ “ชัดลึก” จะเป็นการเพิ่มพื้นที่ของโฟกัสให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ด้วยรูรับแสงที่แคบนั้นไม่เพียงแต่ทำให้แสงเข้าได้น้อยลง แต่ยังจะทำให้เกิดปัญหาการกระเจิงของแสงและส่งผลให้ระดับของคอนทราสต์ลดลงด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า “Diffraction” จับโฟกัสได้แต่ภาพที่ได้จะฟุ้งมัวอันเกิดจากระดับของคอนทราสต์ที่ต่ำลงนั่นเอง ดังนั้นหากคุณรู้แค่เพียงว่ารูรับแสง (F number) เป็นเพียงแค่เครื่องมือควบคุมปริมาณแสง และความชัดตื้น/ชัดลึกเท่านั้นก็ยังไม่พอ เพราะแน่นอนว่ามันย่อมส่งผลต่อคุณภาพของภาพ โดยเฉพาะเรื่องของความคมชัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Sweet Spot :
เลนส์ทุกรุ่นนั้นถูกออกแบบและผลิตออกมาโดยมีความ แตกต่างกันในทางกายภาพ ซึ่งในแต่ละรุ่นจะมีจุดที่เรียกว่า “Sweet Spot” อันหมายถึงช่วงของรูรับแสงที่จะให้คุณภาพความคมชัดของภาพที่ดีที่สุด โดยทั่วไปแล้ว Sweet Spot (SS) ของเลนส์จะอยู่ที่ช่วงลดลง 2-3 สตอปจากรูรับแสงกว้างสุดของเลนส์รุ่นนั้น ตัวอย่าง เช่น เลนส์F/1.4 จะมีช่วง SS อยู่ที่ F/2.8-F/4 ส่วนเลนส์F/4 ก็จะอยู่ในช่วง F/8-11 เป็นต้น
วิธีคิดและอุปกรณ์ :
จะเห็นได้ว่าทั้งเรื่องของ Defocus และ Diffraction ล้วน ส่งผลต่อคุณภาพความคมชัดในภาพถ่ายของเราทั้งสิ้น ดังนั้น วิธีการในการถ่ายภาพของเราอาจจะต้องเปลี่ยนใหม่หากคุณให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น เรามักจะใช้รูรับแสงแคบสุดของเลนส์มุม กว้างในการถ่ายภาพ Cityscape ยามค่ำคืน (หรือภาพน้ำตก) เพื่อให้สามารถลากชัตเตอร์ได้นาน แน่นอนว่ามันจะเกิด ปัญหา Diffraction ขึ้นในภาพ ดังนั้นการช่วยลดปริมาณแสง ด้วยการใช้ฟิลเตอร์ ND หรือ C-PL คุณภาพดี (ย้ำว่าคุณภาพดี) เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้รูรับแสงแคบมากเกินไปก็จะทำให้ได้ ภาพถ่ายที่มีคุณภาพดีมากกว่า หรือในการถ่ายภาพบุคคลที่เรานิยมภาพแบบ “ชัดตื้น” การพิจารณาใช้ระยะห่างของฉากหลังที่ไกลออกไปมากกว่าเดิมเพื่อให้เกิดความเบลอมากยิ่งขึ้น หรือการเข้าใกล้ตัวแบบ มากยิ่งขึ้นก็จะช่วยให้เราไม่ต้องใช้รูรับแสงกว้างสุด สามารถบีบรูรับแสงให้แคบลงได้2-3 สตอป ก็จะช่วยให้เราเข้าใกล้กับ Sweet Spot ได้มากกว่า เป็นต้น
กฏง่ายๆ แต่ได้ผล :
ต่อไปนี้คือแนวทางที่อาจจะเรียกว่า “กฏ” สำหรับกล้อง Full Frame (เซนเซอร์รับภาพที่เล็กกว่าก็สามารถใช้ได้) อันเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของความคมชัด ซึ่งคุณสามารถนำไปใช้งานได้ทันที
หากคุณต้องการคุณภาพความคมชัดสูงสุดโดยที่ไม่ได้สนเรื่อง Depth of Field ละก็จงเลือกใช้เฉพาะที่ช่วง Sweet Spot เท่านั้น ถ้าคุณไม่รู้ว่าช่วง Sweet Spot คือเท่าใดก็เลือก ใช้F/8 เพราะมันมักจะครอบคลุมกับเลนส์โดยส่วนใหญ่
หากคุณใช้เลนส์มุมกว้าง (ทางยาวโฟกัส 24mm ลงมา) และต้องการให้ทุกสิ่งจากระยะห่างหนึ่งเมตรไปจนสุดสายตา อยู่ในช่วงความคมชัดทั้งหมดให้ใช้รูรับแสงช่วง F/11-16 แล้วจับโฟกัสไปที่ระยะห่างสองเมตร ยิ่งเลนส์กว้างมากเท่าไหร่ก็ ยิ่งเปิดรูรับแสงได้กว้างขึ้นเท่านั้น
หากคุณใช้เลนส์35mm แล้วต้องการให้ทุกสิ่งจากระยะสอง เมตรไปถึงสุดสายตาอยู่ในช่วงคมชัดทั้งหมด ให้ใช้รูรับแสงF/16 แล้วจับโฟกัสไปที่ระยะห่างออกไปสี่เมตร …นี่คือเทคนิคที่ใช้งานได้ดีอย่างยิ่งสำหรับภาพถ่ายแนว Street photography
หากใช้เลนส์ 50mm และต้องการให้ทุกสิ่งจากระยะสองเมตรไปจนถึงสุดสายตาอยู่ในระยะชัดทั้งหมด ลองใช้ F/22 (อย่าลืมชั่งน้ำหนักจากการเกิด Diffraction ด้วย)
เลนส์ที่ยาวกว่า 50mm ขึ้นไปเป็นเรื่องยากที่จะให้ทั้งฉาก หน้าและฉากหลังอยู่ในระยะชัดเดียวกัน สำหรับการใช้เลนส์ 85mm ลองใช้F/5.6 ดูเพื่อให้ทุกสิ่งจากระยะห่าง 100 เมตร ไปจนถึงสุดสายตาอยู่ในระยะชัดทั้งหมด
จากที่กล่าวมานี้ก็จะเห็นได้ว่า “รูรับแสง” ของเลนส์ส่ง ผลโดยตรงต่อคุณภาพความคมชัดของภาพถ่ายอย่างชัดเจน ซึ่งการเลือกใช้ให้ดีและเหมาะสมก็ย่อมส่งผลให้ภาพถ่ายดูดีได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะเรื่องของการถ่ายภาพนั้นไม่ใช่เพียงแค่ศิลปะ …มันยังเป็นวิทยาศาสตร์ด้วย