How to… Sharpness Photo ความคมชัดในภาพต้องตั้งค่าอย่างไร

ในปัจจุบันนี้เรามีอุปกรณ์กล้องถ่ายภาพที่มีคุณสมบัติล้ำหน้า เกินความต้องการไปไม่น้อย เทคโนโลยีเหล่านั้นบางครั้งก็ถูก ใช้ไม่หมด หรือบางครั้งเราก็พยายามที่จะใช้มันให้หมดทั้งที่ บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องจำเป็น และอาจจะส่งผลเสียมากกว่า ผลดีด้วยซ้ำไป หนึ่งในคุณสมบัติเหล่านั้นก็คือ “ความละเอียด” หรือขนาดของไฟล์ภาพถ่ายที่ได้เรามีกล้องถ่ายภาพที่สามารถนำไฟล์ภาพไปพิมพ์เป็นงานขนาดใหญ่ออกมาได้สบายๆ แต่เมื่อพูดถึงโลกออนไลน์(ซึ่งหลายคนถือเป็นโลกหลักไปแล้วด้วยซ้ำ) ซึ่งใช้การแสดงผลภาพถ่ายเพียงเฉพาะจอภาพชนิดต่างๆ นั้น เราแทบไม่จำเป็นต้องใช้ความละเอียดสูงสุดที่กล้องถ่ายภาพในปัจจุบันนี้มี วางจำหน่ายเลย …และบางครั้งไฟล์ที่ละเอียดหรือใหญ่มากเกินไปกลับให้ผลที่ “ไม่คมชัด” สำหรับการใช้งานทำนองนี้อีกด้วย…

 

เมื่อเราได้ทำการอัพโหลดไฟล์ภาพถ่ายขึ้นไปยังระบบ โซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งหลายนั้น ข้อมูลภาพของเราจะถูก “บีบ อัด” และทำการ “ย่อขนาด” ของไฟล์ภาพลงให้เหมาะสม กับแต่ละระบบที่เราใช้งานอยู่ ซึ่งแต่ละแห่งนั้นก็จะมีข้อ จำกัดที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะถ่ายภาพด้วยกล้องชั้นดี ขนาดไหนความละเอียดมากมายเพียงใดก็ตาม ที่สุดแล้วมัน ก็จะต้องผ่านกระบวนการเหล่านี้ทั้งสิ้น และทุกครั้งที่ไฟล์ภาพของเราถูกบีบอัดหรือย่อขนาด ลงมาตามระบบนั้น จะเกิดการ “สูญเสีย” คุณภาพลง โดยเฉพาะเรื่องของ “ความคมชัด” ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นอีกหนึ่ง ในหัวใจของฝีมือที่เราต้องการอวดให้โลกรู้เลยทีเดียว วิธีการที่เราจะรักษาคุณภาพของภาพถ่ายให้ถูกแสดงผลได้ดีที่สุดบนจออุปกรณ์ชนิดต่างๆ ผ่านระบบโซเชียล เน็ตเวิร์คก็คือ คุณต้องจัดการย่อขนาดภาพและจัดการความคมชัดให้เรียบร้อยเสียก่อนที่จะอัพโฟลดภาพเข้าสู่ระบบ เหล่านั้น ไม่ควรปล่อยให้ระบบทำการแก้ไขให้โดยอัตโนมัติ เพราะระบบเหล่านั้นไม่ได้สนใจคุณภาพของไฟล์ภาพถ่ายของคุณแม้แต่น้อย จัดการไฟล์ภาพถ่ายเสียก่อน โดยการนำไฟล์ภาพเข้าสู่คอมพิวเตอร์แล้วจัดการย่อขนาดไฟล์ลงมาตามข้อกำหนดของแต่ละระบบ เช่น สำหรับ Facebook นั้นจะให้คุณใช้ขนาดไฟล์ภาพได้ใหญ่ที่สุดคือ ขนาด 2048 พิกเซล คุณก็ต้องจัดการให้ไฟล์ภาพของคุณมีขนาดเท่านั้นก่อนที่จะอัพโหลดขึ้นไป หากคุณไม่ย่อไฟล์เสียก่อนระบบของ Facebook จะทำการย่อเองโดยอัตโนมัติซึ่งนั่นจะทำให้สูญเสียคุณภาพความคมชัดลง

ข้อควรรู้สำหรับโปรแกรมจัดการภาพถ่าย สำหรับในโปรแกรมจัดการภาพถ่ายอย่าง Adobe Photoshop นั้น คุณจะสามารถย่อขนาดไฟล์ได้สองวิธีคือ – ใช้คำสั่ง Image Size แล้วระบุขนาดความกว้างของไฟล์ ภาพได้เลย – สร้างไฟล์งานเปล่าขึ้นมาใหม่ตามขนาดที่ต้องการ จากนั้น Copy > Paste ไฟล์ภาพถ่ายลงไป แล้วย่อขนาดเองด้วย เครื่องมือ “Transform” (Edit > Transform) ทั้งสองวิธีนั้นสามารถย่อขนาดไฟล์ได้ แต่ผลลัพธ์จะ แตกต่างกันอยู่บ้าง โดยทั่วไปแล้ววิธีการที่สองจะให้ผลที่ดี มากกว่าในแง่รายละเอียดความคมชัดของไฟล์ภาพ แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของไฟล์ภาพถ่ายด้วย คุณควรทดสอบดูผลลัพธ์ของสองวิธีนี้ด้วยตนเองว่ามี ความแตกต่างอย่างไรบ้าง?

• ข้อควรรู้สาหรับการย่อขนาด สิ่งที่ควรทราบเอาไว้ก็คือ การย่อขนาดทั้งสองวิธีนั้น ไม่ควรทำกลับไปกลับมาหลายครั้งในภาพเดียวกัน คุณควรทำการย่อเพียงครั้งเดียวให้เสร็จเรียบร้อย หากมีการดึงขนาด ซ้ำใหม่อีกครั้งในภายหลังจะสามารถเห็นการลดทอนคุณภาพ ความคมชัดที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ กรณีที่ดึงขนาดให้ใหญ่ขึ้นจากเดิม ดังนั้นคุณจึงควรทำการปรับขนาดเพียงครั้งเดียวใน แต่ละไฟล์ หากต้องการแก้ไขขนาดก็ควรกลับไปเรียกต้นฉบับลงมาเพื่อปรับขนาดใหม่เท่านั้น

 

  • ชดเชยความคมชัด

หลังจากที่มีการปรับย่อขนาดของไฟล์ภาพแล้ว ไม่ว่า จะอย่างไรก็ตาม ความคมชัดจากเดิมจะถูกลดทอนลง ซึ่ง เป็นเรื่องปกติธรรมดาในขั้นตอน Image Interpolation ของ โปรแกรมจัดการภาพถ่าย ดังนั้นเราจึงต้องเพิ่มความคมชัด เพื่อชดเชยกลับเข้าไปให้ก่อนที่จะนำภาพไปใช้งานต่อ สำหรับไฟล์ภาพที่ย่อขนาดเพื่อนำไปใช้แสดงผลสำหรับ จอภาพ (ในที่นี้คือโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ) ในโปรแกรม Photoshop เราจะใช้เครื่องมือ “Smart Sharpen” (Filter > Sharpen > Smart Sharpen) จากนั้นกำหนดค่าดังนี้ – Amount = 100% – Radius = 0.3 (ถึง 0.6) -Reduce Noise = 0

ค่าดังกล่าวนี้เป็นค่าพื้นฐานทั่วไปที่เหมาะสมต่อการ แสดงภาพบนจอภาพ คุณสามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลง ทางด้านความคมชัดได้ก่อนที่จะกด OK ขั้นตอนการเพิ่มความคมชัดนี้ควรทำเป็นขั้นตอน สุดท้ายเหมือนเป็นบทสรุปให้กับไฟล์ภาพหากคุณเพิ่มความ คมชัดแล้วปรับแต่งภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการปรับขนาด ใหม่อีกครั้ง ความคมชัดก็จะด้อยลงไปเรื่อยๆ เช่นเดิม เพียงเท่านี้ภาพถ่ายบนโซเชียลเน็ตเวิร์คซึ่งแสดงผล บนจอภาพชนิดต่างๆ ก็จะคมชัดน่าประทับใจแล้ว…