How to… HISTOGRAM มันคืออะไรและใช้งานอย่างไร
HOW TO…HISTOGRAM
เชื่อว่าหลายๆ ท่านที่คลุกคลีอยู่กับภาพถ่ายมานานคงจะได้สัมผัสกับสิ่งหนึ่งบนหน้าจอทั้งที่จอหลังกล้อง และบนจอคอมพิวเตอร์ซึ่งมันมีลักษณะเป็นเส้นสูงๆ ต่ำๆ อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมที่เค้าเรียกว่า “ Histogram ” มันมีไว้ทำอะไรกันนะ? และเราจะใช้ประโยชน์จากมันได้ยังไงบ้าง?
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า บรรดาไฟล์ภาพถ่ายดิจิตอลที่เราใช้งานกันอยู่นี้ แท้ที่จริงแล้วก็คือ “พิกเซล” หรือจุดสีจำนวนมากมายมหาศาลที่เรียงตัวต่อกันจนเกิดเป็นภาพถ่ายขึ้นมา ซึ่งในแต่ละจุดนั้นก็จะมีลักษณะความเข้ม/จางของสีสันแตกต่างกัน ไปซึ่งมันก็ถึงความสว่าง-มืดของแต่ละจุดสีด้วย ระบบคอมพิวเตอร์สามารถที่จะประมวลผล เพื่อนับจำนวนจุดสีอันมีความแตกต่างกันตามลักษณะดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วแล้วทำการรายงานผลออกมาได้ว่ามีจำนวนจุดที่เข้าข่าย “มืด” อยู่จำนวนเท่าไหร่ และมีจำนวนจุดที่เข้าข่าย “สว่าง” อยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่ แต่หากจะให้รายงานออกมาเป็นตัวเลขก็จะไม่ค่อยเหมาะกับงานในลักษณะนี้นัก ดังนั้นจึงได้คิดค้นวิธีการรายงานผลนี้ให้ออกมาในลักษณะของกราฟแท่ง ซึ่งเรียกกันว่า “Histogram” นี้นั่นเอง
ในตารางสี่เหลี่ยมอันเป็นหน้าตาโดยปกติของ Histogram นั้นจะมีหลักสากลในการแบ่งพื้นที่แสดงผลอยู่ว่าทางด้านซ้ายมือ (ของเรา) จะหมายถึงความมืด ส่วนทางด้านขวามือจะหมายถึงความสว่าง ส่วนตรงกลางนั้นคือค่าอันเป็นกลางๆ ไม่สว่างไม่มืดและระดับความสูงของกราฟนั้นจะหมายถึง จำนวนจุด (พิกเซล) ที่เข้าข่ายนั้นนั่นเองระบบคอมพิวเตอร์ (ทั้งของกล้องและของเครื่องคอมพิวเตอร์) จะทำการนับจำนวนแล้วสร้างเป็นกราฟขึ้นเพื่อให้ดูเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าในภาพถ่ายนี้มีจำนวนพิกเซลในลักษณะแบบใดบ้าง เช่น หากจำนวนเส้นกราฟหนักไปทางซ้ายมือก็แสดงว่ามีพิกเซล “มืด” อยู่มาก หากหนักไปทางขวามือก็แสดงว่ามีพิกเซลสว่างอยู่มาก หรือถ้าหนักมาในส่วนตรงกลางก็แสดงว่ามีพิกเซลกลางๆ อยู่มาก ดังนั้นเมื่อเห็น Histogram แล้วเราก็จะสามารถบอกได้อย่างคร่าวๆ ทันทีว่าภาพนี้มีลักษณะไปทางใด เป็นภาพมืด ภาพสว่าง หรือภาพอย่างกลางๆ …แต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ ลักษณะ กราฟ Histogram นี้เป็นเรื่องของ “การรายงาน ผล” ไม่ใช่คำตัดสินความสวยงามของภาพอย่างที่หลายคนเข้าใจ
อย่างที่บางท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า กราฟที่มีรูปทรงระฆังคว่ำ หรือทรงภูเขาอันมีลักษณะนูนสูงอยู่ตรงกลาง นั้นคือภาพถ่ายที่ดีที่สุดเพราะภาพ จะไม่สว่างหรือมืดเกินไป(เพราะมีจำนวนพิกเซลที่ มีระดับความสว่างกลางๆ อยู่มาก) ในขณะเดียวกัน หากHistogram เทน้ำหนักมาที่ด้านใดด้านหนึ่งนั้น ก็มักจะเป็นภาพที่ใช้ไม่ได้ไม่โอเวอร์เกินไปก็อันเดอร์ เกินไปตามรายงานของกราฟฮิสโตแกรม เป็นความเข้าใจที่ถูกแต่ไม่ทั้งหมด ที่ว่าถูกก็ คือลักษณะของภาพจากการรายงานของ Histogram นั้นถูกต้องเนื่องด้วยเป็นการนับจำนวนพิกเซล แต่เรื่องนี้บอกความสวยงามของภาพถ่ายไม่ได้เพราะ ภาพถ่ายไม่ได้มีแต่ความสว่างระดับกลางๆ เสมอไป ยกตัวอย่างเช่น ภาพถ่ายดวงดาวในยามค่ำคืน แน่นอนว่าภาพนี้ย่อมจะต้องเต็มไปด้วยพิกเซลทางด้านมืดเป็นจำนวนมาก ส่วนสว่างอย่างดวงดาวนั้น ก็จะเป็นจำนวนน้อย ซึ่งกราฟฮิสโตแกรมย่อมจะต้องแสดงผลที่หนักมาทางด้านซ้าย ซึ่งนั่นไม ่ได้ หมายความว่าภาพนี้จะอันเดอร์จนใช้ไม่ได้ในทางตรงกันข้าม ภาพถ่ายลักษณะ Hi-Key ก็ย่อมจะเน้นความสว่างของภาพเป็นสำคัญแน่นอน อีกเช่นกันที่ย่อมจะต้องมีพิกเซลสว่างอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นฮิสโตแกรมก็ย่อมจะต้องแสดงผลที่หนัก ไปทางขวาด้วยเช่นกัน
ดังนั้น Histogram จึงเป็นเพียงตัวรายงานผลแต่ใช้ ตัดสินความสวยงามไม่ได้เพราะอันที่จริงแล้วความสวยของ ภาพถ่ายซึ่งถือว่าเป็นงานศิลปะก็ไม่สามารถชี้วัดได้ด้วยระบบมาตรวัดใดๆ แล้วเราจะมีHistogram ไว้เพื่ออะไรกัน?
ในงานระดับมืออาชีพนั้นจะมีการพิจารณากราฟนี้ค่อนข้างมาก แต่สำหรับในระดับผู้ใช้ทั่วไปแล้วคงไม่ถึงกับต้องลงรายละเอียดมากนัก เราอาจจะใช้เพื่ออ้างอิงในขณะที่ดูภาพจากจอ LCD หลังกล้องในที่กลางแจ้งก็ได้เพราะปัญหามักจะเกิดขึ้นเป็นประจำด้วยคิดว่าภาพที่ถ่ายมานั้นดูด้วยสายตาแล้วมักจะ โอเวอร์ หรืออันเดอร์มากเกินไป (อันเนื่องมาจากแสงสะท้อนที่ผิวจอ) แต่ Histogram จะบอกคุณได้ว่าแท้ที่จริงแล้วข้อมูลภาพที่เห็นนั้นมืด หรือสว่างเกินไปจริงๆ หรือเปล่า? ก็โดยการเปิดระบบ Histogram ขึ้นมาดูผลร่วมกับการเช็คภาพที่ หลังจอ LCD ไปพร้อมกันนั่นเอง วิธีการของ Histogram นั้นจะอ้างอิงในเรื่องระดับความ มืด-สว่างของภาพถ่ายเป็นหลัก ซึ่งอาจจะแสดงเป็นภาพรวมหรือแยกการแสดงผลแบบแยกเป็นแต่ละสี R, G, B ก็ได้ เช่นกัน วิธีการเปิดใช้งานHistogram นั้นโปรดศึกษาได้จาก คู่มือกล้อง นี่คืออีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยคุณตัดสินใจใน ด้านความสว่าง/มืดของภาพได้อย่างสะดวกง่ายดายและ รวดเร็วกว่าการถูกแสงสะท้อนหลอกตาแน่นอน!

